แนวโน้มทองคำ มีโอกาสสูงสุดขึ้นถึง 30,900

405
แนวโน้มทองคำ มีโอกาสสูงสุดขึ้นถึง 30,900

นางสาวฐิภา นววัฒนทรัพย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท วายแอลจี บูลเลี่ยน แอนด์ ฟิวเจอร์ส จำกัด (YLG) เปิดเผยว่า ภาพรวมตลาดทองคำ ยังมีทิศทางเป็นขาขึ้นอย่างต่อเนื่อง แม้ขณะนี้เริ่มเห็นแรงเทขายทำกำไรกดดันให้ราคาปรับลดลงได้บ้าง แต่คาดว่าเป็นช่วงระยะสั้นๆ เท่านั้น โดยหากราคาทองคำสปอตพยายามยืนเหนือแนวรับโซน 1,886 เหรียญสหรัฐต่อออนซ์ได้อย่างมั่นคง

เชื่อว่าจะเกิดแรงซื้อเข้ามาดันให้ราคาปรับตัวขึ้นอีกคร้ัง หลังจากช่วงเดือนพฤษภาคม ที่ผ่านมา ราคาทองคำไทยปรับขึ้นไปทำราคาสูงที่สุดในปีนี้ แบ่งเป็นราคาทองแท่งขายออก อยู่ที่บาท (บาททองคำ) ละ 27,750 บาท รับซื้อ 27,650 บาท

ส่วนทองรูปพรรณ ขายออก 28,250 บาท รับซื้อ 27,151.56 บาท ส่วนทองสปอตอยู่ที่ 1,869 เหรียญสหรัฐต่อออนซ์ แม้จะเห็นราคาเคลื่อนไหวย่อตัวลง แต่ราคาทองคำโลกยังไม่ได้ปรับขึ้นสูงสุด จึงยังมีโอกาสเห็นราคาทองคำไทยปรับขึ้นได้อีก ตามทิศทางราคาทองคำในตลาดโลก

โดยให้เป้าหมายราคาทองคำไทยทำจุดสูงสุดในปี 2564 ระดับแรกอยู่ที่ 29,000 บาทต่อบาททองคำ และระดับ 2 อยู่ที่ 30,900 บาทต่อบาททองคำ ซึ่งเป็นเป้าหมายที่ราคาทองคำเคยไปถึงในปี 2563 ส่วนราคาทองคำโลกระดับแรกอยู่ที่ 1,920 เหรียญสหรัฐต่อออนซ์ และระดับ 2 อยู่ที่ 2,075 เหรียญสหรัฐต่อออนซ์

ปัจจัยเสี่ยงที่จะกดดันให้ราคาทองคำปรับลดลง คือการกระจายฉีดวัคซีนได้มากขึ้น แต่มองว่าเป็นปัจจัยที่กดดันราคาในระยะสั้นเท่านั้น เพราะแม้วัคซีนจะเข้ามาแล้ว แต่ความกังวลในผลกระทบทางเศรษฐกิจในภาพรวมยังอยู่

จึงมองว่าปีนี้ทองคำไม่มีปัจจัยเสี่ยงหนักๆ ที่จะสามารถกระแทกให้ราคาปรับลดลงแรงๆ ได้ จึงแนะนำให้ลงทุนในพอร์ต 10% และรอจังหวะราคาย่อตัวลง ทยอยซื้อสะสม โดยให้แนวรับที่ระดับ 22,700 บาทต่อบาททองคำ ส่วนราคาทองคำโลกให้แนวรับที่ 1,850 เหรียญสหรัฐต่อออนซ์ และแนวรับถัดไปที่ 1,800 เหรียญสหรัฐต่อออนซ์ นางสาวฐิภา กล่าว

นางสาวฐิภา กล่าวว่า ปัจจัยสนับสนุนราคาทองคำหลักๆ คือ ค่าเงินบาทอ่อนค่าลง ราคาทองคำต่างประเทศปรับตัวขึ้นแตะระดับ 1,890 เหรียญสหรัฐต่อออนซ์ เนื่องจากดัชนีหุ้น และสินทรัพย์ดิจิทัล อย่างบิทคอยน์ มีการปรับราคาลดลงรุนแรง ทำให้นักลงทุนโยกย้ายเม็ดเงินจากสินทรัพย์เสี่ยง เข้าลงทุนในสินทรัพย์ปลอดภัยมากขึ้น ประกอบกับพบตัวเลขผู้ติดcv รายใหม่ในระดับสูงต่อเนื่อง นอกจากนี้ ยังเห็นสหรัฐดำเนินอัตราดอกเบี้ยนโยบายอยู่ในระดับต่ำ และธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) มีแนวโน้มไม่ลดการอัดฉีดเงินเข้าระบบผ่านมาตรการผ่อนคลายทางการเงิน (คิวอี) ทำให้นักลงทุนกังวลภาวะเงินเฟ้อ และเศรษฐกิจเข้าสู่ภาวะถดถอย จึงเป็นปัจจัยสนับสนุนให้ราคาทองคำเคลื่อนไหวในขาขึ้นต่อไป

สำรวจความต้องการ (ดีมานด์) ในการซื้อทองคำของต่างประเทศ พบว่ามีมากขึ้นด้วย โดยเฉพาะประเทศจีน และอินเดีย ซึ่งเป็นประเทศผู้ซื้อรายใหญ่ที่สุดในโลก ซึ่งในปี 2563 แรงซื้อทองคำของจีน ถูกกดดันจากการcv ทำให้ความต้องการหดตัว

แต่ขณะนี้จีนสามารถควบคุมได้แล้ว แรงซื้อจึงกลับมาเพิ่มขึ้น โดยในไตรมาส 1/2564 จีน มีแรงซื้อทองคำในรูปแบบเครื่องประดับ เพิ่มขึ้น 191.1 ตัน บวก 212% ทองคำแท่งอยู่ที่ 86.42 ตัน บวก 133% เทียบกับช่วงไตรมาสเดียวกันของปีก่อนหน้า ซึ่งคาดการณ์ว่าแรงซื้อจะเพิ่มขึ้นอีกกว่า 277.53 ตัน บวก 182%

ส่วนอินเดีย มีแรงซื้อทองคำในรูปแบบเครื่องประดับ เพิ่มขึ้น 102.5 ตัน บวก 38.8% ทองคำแท่งอยู่ที่ 37.53 ตัน บวก 90% คาดการณ์ว่าแรงซื้อจะเพิ่มขึ้นอีกกว่า 140 ตัน บวก 37.41% ด้วยความต้องการที่เพิ่มขึ้นของตลาดต่างประเทศ จึงเชื่อว่าราคาทองคำในปีนี้จะไม่ปรับลดลงรุนแรงเหมือนปีที่ผ่านมาแน่นอน