หนังคนละม้วน เจ้าบ่าวพูดแล้ว ปมเทงานแต่ง

662
หนังคนละม้วน เจ้าบ่าวพูดแล้ว ปมเทงานแต่ง

จากกรณีในโลกออนไลน์มีการแชร์เรื่องราวจากเพจ อีซ้อขยี้ข่าว เป็นเรื่องราวของคู่บ่าวสาว ที่กำลังจะเข้าพิธีวิวาห์ เตรียมงานทุกอย่างไว้หมดแล้ว แต่กลับฝันสลายในชั่วข้ามคืน หลังครอบครัวฝ่ายเจ้าบ่าวขอยกเลิกงานแต่ง เพราะเหตุผลสั้นๆคือ ไม่มีเงินสินสอด

โดยข้อความที่ทางเพจเล่า ระบุว่า

ความฝันของผู้หญิงคนนึงต้องล้มครื้นลงทันทีหลังถูกฝ่ายชายและทางญาติยกเลิกการจัดงานแต่งไปอย่างดื้อๆ สั่งให้ทั้งทุกคู่หยุดความสัมพันธ์ทั้งที่คบกันมานานถึง 9 ปี

ที่สำคัญทุกอย่างเตรียมพร้อมไว้หมดแล้ว ไม่ว่าจะเป็นสถานที่ การ์ดเชิญ ของชำร่วย รวมถึงเรือนหอที่ใกล้เสร็จ

รอแค่แขกเหรื่อที่จะไปแสดงความยินดีกับงานแต่งที่จะเกิดขึ้นในอีกไม่กี่วัน จู่ๆ ทางญาติฝ่ายชายโทรมายกเลิกด้วยเหตุผลสั้นๆ คือ ยังไม่มีเงินสินสอด

เออ จบทุกอย่างแบบนี้ง่ายๆ ก็ได้ด้วย เห็นใจผู้หญิง เสียทั้งเงิน เสียทั้งความรู้สึกแถมเสียหน้าอีกแบบนี้น่าหาทนายมือดีมาช่วยจัดการจะได้ไม่ไปทำกับคนอื่น

ล่าสุดวันที่ 23 พ.ย. 64 นายกฤษฎา อายุ 27 ปี เปิดเผยว่า ตนกับฝ่ายหญิงได้คบหากันมาเป็นระยะเวลาประมาณ 9 ปี ตลอดเวลาที่คบกัน ตนได้ช่วยเหลือดูแลฝ่ายหญิงมาโดยตลอด ไม่ว่าจะซักผ้า ล้างจาน ซื้อกับข้าว ตามใจทุกอย่าง เพื่อไม่ให้มีปัญหา แก้ไขตัวเองในทุก ๆ เรื่อง ยอมปรับเปลี่ยนจนในบางครั้งรู้สึกไม่เป็นตัวของตัวเอง อยากไปไหนทำอะไร หรือแม้กระทั่งมากินข้าวกับครอบครัวก็ไม่ค่อยจะได้มาต้องอยู่กับฝ่ายหญิงตลอดเวลา ถ้าไม่ได้อยู่ด้วยกันก็ต้องคุยโทรศัพท์ด้วยตลอดเวลา

โดยเราทั้งคู่ไม่ได้มีมือที่สาม ฝ่ายหญิงจริงจังกับตนมากตั้งใจที่จะสร้างครอบครัวด้วยกัน ในช่วง 3 ปี ที่ผ่านมานั้น ฝ่ายหญิงพูดเรื่องที่จะแต่งงานมาโดยตลอด เพราะฝ่ายหญิงพูดว่า เลข 7 เป็นเลขอาถรรพ์ กลัวจะเลิกกัน จึงอยากจะแต่งงาน จดทะเบียนสมรสกัน ขอให้พ่อแม่ฝ่ายชายมาสู่ขอ อยากมีครอบครัว อยากอยู่ด้วยกัน ซึ่งตนก็รู้ว่าครอบครัวที่บ้านยังไม่พร้อม ด้วยเศรษฐกิจปัจจุบันที่กำลังแพร่ทำให้ที่ร้านไม่ค่อยมีลูกค้า ขาดสภาพคล่องทางการเงิน

นายกฤษฎา กล่าวว่า ตนจึงไม่ได้นำเรื่องที่ฝ่ายหญิง เร่งรัดเรื่องงานแต่งงานมาคุย เพราะไม่อยากให้พ่อแม่ไม่สบายใจ เรื่องทั้งหมดนั้นตนได้เก็บไว้ฝ่ายเดียว และได้ตอบกลับฝ่ายหญิงไปว่า พ่อแม่ยังไม่ว่าง ได้หาเหตุผลต่าง ๆ เพื่อเลื่อนการสู่ขอออกไป ซึ่งตนก็ไม่ได้มีงานประจำ ทำงานที่ร้านกับพ่อ เงินที่ใช้จ่ายก็ยังเป็นเงินกงสี ไม่ได้มีเงินเดือน

กระทั่งล่าสุดคือฝ่ายหญิงบอกว่าถ้ายังไม่มาสู่ขอก็จะเลิก และมีการทะเลาะกันบ้างแต่ก็ไม่รุนแรง และสุดท้ายตนก็ยอมได้มาคุยกับพ่อแม่ และมีการตกลงเรื่องสินสอดกัน หลังจากนั้นฝ่ายหญิงก็ได้จัดการในเรื่องการถ่ายพรีเวดดิ้ง การหาฤกษ์แต่งงาน และจองจัดเตรียมงานทุกอย่าง ซึ่งในตอนนั้นตนคิดว่าคงจะสามารถหาเงินสินสอดมาได้ แต่พอในช่วงนี้เศรษฐกิจย่ำแย่ และพ่อแม่ไม่พร้อม แต่อีกใจหนึ่งตนก็สงสารฝ่ายหญิงเพราะฝ่ายหญิงได้เตรียมพร้อมในเรื่องต่างๆไว้

เมื่อฝ่ายหญิงไปหาฤกษ์แต่งงานนั้น ทางพ่อและแม่ได้ขอเลื่อนงานแต่งงานไปก่อน เนื่องจากยังไม่มีค่าสินสอด รวมไปถึงตอนนี้อยู่ในช่วงcv หากสถานการณ์ดีขึ้นแล้วก็จะจัดการเลี้ยง งานแต่งงานให้เหมือนเดิม แต่ทางฝ่ายหญิงได้มาปรึกษาพูดคุยกับตนเองว่า ขอให้ไปจดทะเบียนสมรสกันในวันที่ 14 พฤศจิกายน และเอาสินสอดมามอบให้ตนเอง และไปถ่ายรูปเก็บไว้ โดยจะมีการไปถ่ายภาพกันในสตูดิโอแห่งหนึ่ง โดยมีการนำเอาเงินสินสอดมาวาง และเอาทะเบียนสมรสมาถ่ายภาพที่สตูดิโอ โดยที่ฝ่ายหญิงเป็นฝ่ายที่เตรียมการทั้งหมด

ในตอนนั้น ตนรู้อยู่แล้วว่าไม่มีสินสอดที่จะเอาไปให้ฝ่ายหญิง และคิดไว้แล้วว่าจะไม่มีการจดทะเบียนสมรส หรืองานแต่งงานใด ๆ ทั้งสิ้น แต่เมื่อฝ่ายหญิงรู้ว่าทางฝ่ายชายจะไม่มาจดทะเบียนสมรส จึงคิดจะจบชีวิตตัวเอง และโทรให้กู้ภัยมารับเพื่อพาไปหาหมอ ซึ่งตนเมื่อทราบก็ได้รีบไปที่โรงพยาบาลทันที และทางแม่ของฝ่ายหญิงได้บอกกับตนเองว่า ถ้าไม่มีสินสอดมาก็ขอจบกันเพียงเท่านี้เพราะไม่สามารถเลี้ยงดูลูกของตนได้

หลังจากนั้นในวันที่ 12 พ.ย. ตนก็ได้คิดจะจบชีวิตตัวเองเพื่อจบปัญหาต่าง ๆ และไม่อยากรับรู้เรื่องทั้งหมด โดยการขับรถออกจากบ้านไปนอนที่ชายทะเล สุดท้ายคลื่นก็ซัดไปอยู่บริเวณหน้าวัดแห่งหนึ่งจนได้ไปอาศัยอยู่ที่วัดจนถึงวันที่ 15 พ.ย. จนพี่สาวตนไปตามหาจนเจอ เพราะตนได้เอารถไปจอดไว้บริเวณชายทะเล

ตลอดระยะหลัง ๆ มา ตนเองไม่เคยได้จับโทรศัพท์เลย ฝ่ายผู้หญิงจะเป็นคนถือและคอยโพสต์โน้นนั้นนี้อยู่ตลอด และบางครั้ง มีญาติ ๆ เข้ามาคอมเมนต์หยอกล้อ ก็จะโดนด่าตอบไป ทำให้หลายคนแปลกใจเพราะนิสัยตนไม่ได้เป็นคนก้าวร้าว และมารู้ความจริง ก็หลาย ๆเรื่องประดังออกมา ซึ่งทุกคนก็ดีใจที่ตนได้เป็นอิสระ ส่วนเรื่องจะแจ้งความก็ว่ากันไปในอนาคต