ผัวอุ้มเมียพิการ เดินร้องไห้ ไปตามทางรถไฟ สุดท้ายความจริงปรากฏ

141
ผัวอุ้มเมียพิการ เดินร้องไห้ ไปตามทางรถไฟ สุดท้ายความจริงปรากฏ

จากกรณีเหตุการณ์ที่ทางด้านเพจเฟซบุ๊ก ทีมงานสายไหมต้องรอด ได้มีการไลฟ์สดเหตุการณ์สลด ได้รับแจ้งจากพลเมืองดีว่ามีลุงช่างเชื่อม อุ้มเมียพิการนอนข้างทางรถไฟ ใกล้ ม.ธรรมศาสตร์ รังสิต หลังถูกนายจ้างพามาปล่อยทิ้ง พร้อมเบี้ยวค่าจ้าง จึงให้การช่วยเหลืออย่างเร่งด่วน

โดยเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนั้น พบว่าบุคคลที่ทางเพจสายไหมเข้าไปช่วย ทราบชื่อคือ นายสมประสงค์ บริบูรณ์ อายุ 54 ปี กับทางภรรยา คือ นางพัทธนันท์ ทายะ อายุ 55 ปี ที่ป่วยพิการท่อนล่าง ไม่สามารถเดินได้ โดยภาพตอนที่ทีมงานเพจสายไหมไปเจอนั้น พบว่าทางคุณลุงได้พยายามจะอุ้มภรรยาพิการลงจากสะพานลอยข้ามข้างทางรถไฟ ด้านหลัง ม.ธรรมศาสตร์ ศูนย์รังสิต หฟลังจากที่มีนายจ้างใจร้าย นำมาทิ้งไว้ในจุดดังกล่าว

นายสมประสงค์ กล่าวว่า ตนเป็นชาว จ.นราธิวาส ได้มาแต่งงานอยู่กินกับภรรยาที่ อ.พบพระ จ.ตาก ประมาณ 15 ปี ตนประกอบอาชีพรับจ้างทั่วไป ก่อนหน้านี้ภรรยาตนสุขภาพแข็งแรงตามปกติ เมื่อประมาณ 10 ปีที่ผ่านมาภรรยาเริ่มล้มป่วยเป็นโรคเกี่ยวกับปอด แขนขาออนแรง อาการหนักขึ้นจนกระทั่งไม่สามารถเดินได้

ที่ผ่านมาถึงแม้ภรรยาตนจะเดินไม่ได้ ตนก็ไม่เคยทิ้งไปไหน ทุกครั้งที่ตนเองไปรับจ้างทำงานก็จะอุ้มเอาภรรยาไปอยู่ด้วยคอยดูแลไม่เคยห่าง ตนสงสาร เนื่องภรรยาตนเป็นคนดีมาก ตอนที่ยังไม่ล้มป่วยภรรยาก็เอาใจใส่ดูแลตนเป็นอย่างดี เมื่อภรรยาป่วยตนจึงรับปากว่าไม่ว่าจะยากดีมีจนแค่ไหนก็ตาม ตนก็จะรักและดูแลจนกว่าจะสิ้นลมหายใจ

กล่าวต่อว่า ช่วงเดือนมกราคมที่ผ่านมาได้มีนายจ้างชื่อ นางติ๋ม มาติดต่อชักชวนมาทำงานเป็นช่างเชื่อมเหล็กที่หมู่บ้านแห่งหนึ่ง ใน จ.ปทุมธานี โดยจะให้ค่าแรงวันละ 600 บาท ตนจึงรับปากและได้พาภรรยาเดินทางมาด้วย ทุกวันก่อนไปทำงาน ตนจะอาบน้ำ เช็ดตัว และป้อนข้าวป้อนน้ำ เตรียมยาให้ภรรยาตนได้กินก่อนแล้วถึงจะไปทำงาน หลังเลิกงานก็จะรีบกลับมาที่ห้องพักเพื่อมาดูแลภรรยา ตลอดระยะเวลา 2-3 เดือนที่ทำงานมา นายจ้างให้ตนเบิกเงินได้วันละ 200 บาท ส่วนที่เหลือจะให้ตนเบิกสิ้นเดือน

พอถึงสิ้นเดือนก็จะเลื่อนมาเรื่อย ๆ จนกระทั่งปลายเดือนมีนาคมที่ผ่านมา คุณหมอจาก รพ.สมเด็จพระเจ้าตากสิน จ.ตาก ได้โทรศัพท์มาแจ้งให้ตนพาภรรยากลับมาตรวจดูอาการ เนื่องจากพบว่าปอดมีอาการแย่ลง เชื้อดื้อยา ตนจึงแจ้งขอเบิกเงินกับทางนายจ้างเพื่อพาภรรยากลับ จ.ตาก เพื่อไปรักษาตัว

แต่นายจ้างก็บ่ายเบี่ยงมาโดยตลอด จนกระทั่งเมื่อช่วงเย็นที่ผ่านมา นายจ้างแจ้งว่าจะพาตนและภรรยามาส่งขึ้นรถ เพื่อกลับบ้าน โดยพาตนมาส่งไว้ที่ข้างทางรถไฟ ด้านหลัง ม.ธรรมศาสตร์ รังสิต พร้อมกับบอกให้ตนยืนรอ บอกว่าจะไปกดเงินค่าแรงมาให้ ตนยืนรอตั้งแต่ 4 โมงเย็น จนถึง 2 ทุ่ม นายจ้างก็ไม่กลับมา โทรศัพท์ไปหาก็ถูกตัดสาย และบล็อกเบอร์ติดต่อไม่ได้อีกเลย

ล่าสุด วันที่ 13 เม.ย. 65 นายเอกภพ เหลืองประเสริฐ ทีมงานเพจสายไหมต้องรอด เปิดเผยว่า ส่วนตัวได้รับแจ้งมาจากทางเพจ โดยที่ทางเจ้าตัวได้ติดต่อประสานงานมากับอีกคนหนึ่งที่รู้จัก สุดท้ายพอไปตรวจสอบกลับพบว่าเป็นเรื่องจริง ภาพที่ไปเจอค่อนข้างสลดใจ เพราะว่านายจ้างคนดังกล่างกลับนำ 2 สามีภรรยามาทิ้งตรงทางริมข้างรถไฟ ค่อนข้างเปลี่ยวและมืด ภาพที่ตนเองเห็นน้ำตาแทบไหล ไม่คิดว่าคนเป็นนายจ้างจะทำได้ลงคอ ต่อให้ไม่เป็นนายจ้าง แต่หากเป็นมนุษย์สักนิดหนึ่ง เขาเองน่าจะไปส่งทั้งคู่ในสถานที่ปลอดภัยกว่านี้ ไม่ใช่มาทิ้งแบบนี้ เขาไม่ใช่หมู ไม่ใช่หมา ตนมองใจร้ายเกินไป

อย่างไรก็ตาม หลังจากที่ตนได้รับทางคุณลุงและคุณป้าดังกล่าวมาเมื่อช่วงค่ำที่ผ่านมา ตนเองได้ประสานงานกับทางกระทรวงแรงงาน เพื่อเข้ามาตรวจในมุมของนายจ้าง หากกระทำการเข้าข่ายผิดกฎหมายในส่วนไหน ก็อาจจะมีการเเจ้งข้อหา และตามตัวมารับผิดชอบต่อไป รวมไปถึงทางกระทรวงแรงงานเองก็จะเข้ามาดูแล และประสานงานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง หาอาชีพและเงินชดเชยทางตามกฎหมายที่ทั้งคู่จะต้องได้รับ ส่วนกรณีเหตุการณ์ในส่วนของภรรยาที่สืบทราบมาเบื้องต้นว่าเขาเองอาจจะมีอาการป่วยมา

จากผลของการทำงานในโรงงานเคมีแห่งหนึ่งย่านวังน้อย ส่วนนี้ก็จะมีการประสานไปยังกระทรวงสาธารณสุข ให้มีการตรวจร่างกายว่าสาเหตุป่วยที่แท้จริงมาจากอะไร มีเรื่องของผลกระทบเกี่ยวกับการทำงานหรือไม่ ถ้ามีอาจจะต้องมีการเยียวยาตามกรอบกฎหมายของกระทรวงแรงงาน ตลอดจนคืนนี้เองทางเพจสายไหมต้องรอดจะช่วยเหลือเบื้องต้นทั้งคู่ ให้ทีมงานเพจสายไหมต้องรอด ซื้อตั๋วรถให้ทั้งคู่เดินทางกลับบ้านที่ จ.ตาก ในช่วงค่ำของวันนี้ ประมาณ 21.00 น.

นายสมประสงค์ และภรรยา บอกว่า ตนเองเป็นคน จ.นราธิวาส แต่งงานและไปอยู่กินกับภรรยาที่ อ.พบพระ จ.ตาก ทำอาชีพรับจ้างทั่วไป เกี่ยวกับช่างเชื่อม ก่อนหน้านี้ที่ทางภรรยายังไม่ป่วยก็นับจ้างไปทั่วใครชวนไปไหนก็ไป แต่พอทางภรรยาป่วยตนเองเลยต้องกลับไปทำงานในพื้นที่พบพระ จ.ตาก ซึ่งเป็นบ้านเกิดของภรรยา เนื่องจากภรรยาป่วยด้วยโรคเกี่ยวกับปอด แขนขาอ่อนแรง จนกระทั้งเดินไม่ได้มานานกว่า 10 ปี ด้านนายจ้าง “นางติ๋ม” ตนได้รู้จักเพราะเคยทำงานร่วมกันมาก่อนหน้าที่ก็ชวนไปทำงา

กระทั่งต้นเดือนกุมภาพันธ์เขาได้ติดต่อกลับมาหาตนว่าจะจ้างงานเป็นข่างเชื่อมในพื้นที่ปทุมธานี ให้ค่าจ้างวันละ 600 บาท โดยจะทำประมาณ 2-3 เดือน ตนตกลงและเดินทางมาพร้อมกับภรรยา แต่กลับไม่เป็นไปตามสัญญาเพราะทางนางติ๋มกลับจ่ายให้วันละ 200 บาท โดยระบุว่าส่วนต่างอีก 400 บาท จะจ่ายทีเดียวตอนสิ้นเดือน เมื่อถึงสิ้นเดือนก็จะขอเลื่อนมาเรื่อย ๆ จนกระทั่งผ่านมา 3 เดือนก็ยังไม่ได้เงิน รวมเงินที่นางติ๋มค้างอยู่วันละ 400 บาท 3 เดือน รวมกว่า 20,000 บาท สุดท้ายตนทนไม่ไหว เพราะต้องพาภรรยากลับไปหาหมอที่โรงพยาบาลตากด้วย เลยบอกว่าจะขอกลับบ้าน

จนกระทั่งเมื่อวานตอนเย็น นางติ๋มบอกว่าจะพาเขาและภรรยาส่งขึ้นรถกลับบ้าน โดยพามาส่งไว้ที่ข้างทางรถไฟด้านหลัง ม.ธรรมศาสตร์ ศูนย์รังสิต พร้อมบอกให้ยืนรอจะไปกดเงินค่าแรงที่ค้างมาให้ แล้วนายจ้างก็ไม่กลับมา ยอมรับว่ารู้สึกเสียใจถึงขั้นร้องไห้ ไม่รู้จะทำอย่างไร ไม่คิดว่าจะโดนหลอกทั้งที่เงินทั้งหมดส่วนตัวตั้งใจจะเก็บไว้เป็นค่ารักษาภรรยา ส่วนหนึ่งตั้งใจจะเก็บไปซื้อเครื่องมือช่าง เพราะอยากจะกลับไปทำงานที่บ้านและดูแลภรรยาด้วย ส่วนตัวสงสารทางภรรยาที่ต้องมาตกทุกข์ลำบากไปด้วยกัน “ตนยืนยันว่าจะไม่เปิดรับบริจาค หรือเปิดรับขอความช่วยเหลือเด็ดขาด ตนเองอยากได้แค่ค่าจ้างที่ทำงาน เพราะตนยังมีแรงพอที่จะสู้ชีวิตไหว ไม่ต้องการเอาความสงสารครั้งนี้มาเพื่อเปิดรับบริจาค ส่วนหากใครจะมอบเป็นเครื่องมือในการทำมาหากิน ตนพร้อมรับ แต่เรื่องเงินตนไม่ขอรับ อยากให้ทุกคนเข้าใจว่าตนอยากทำงานมากกว่า ส่วนเรื่องของการรักษาพยาบาลทางภรรยาในส่วนนี้ก็ใช้สิทธิ 30 บาท หมอบอกว่าหายขาดคงไม่ได้ ทำได้แค่ให้ดีขึ้น

ด้านนางพัทธนันท์ ทายะ อายุ 55 ปี ภรรยา เปิดใจทั้งน้ำตาว่า ตนเคยบอกกับทางฝ่ายชายแล้วว่าให้ทิ้งตนไป แต่เขาก็ยังตัดสินใจจะดูแลตน เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นถึงขั้นทำให้ตนคิดจะฆ่าตัวตาย เพราะพิการไม่พอ แต่กลับต้องมาเจอเหตุการณ์แบบนี้อีก ในใจอยากจะกลับมาเดินได้มีแรง เพราะจะได้ช่วยสามีทำงาน ทุกวันนี้เองทำงานคนเดียวตนก็สงสาร แต่เขาก็บอกว่าไม่เป็นไร ทำให้ตนรู้สึกมีกำลังใจที่จะต่อสู้ต่อไปด้วยกัน

ผัวอุ้มเมียพิการ เดินร้องไห้ ไปตามทางรถไฟ สุดท้ายความจริงปรากฏ

คลิป

ขอบคุณ ทุบโต๊ะข่าว Amarin TV 34